สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล และพันธมิตรองค์กรชั้นนำ ได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด และเครือข่ายบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหาร เดินหน้าสานต่อพันธกิจบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหารใน "SPACE-F ปี 6: โครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตฟู้ดเทคสตาร์ตอัประดับสากลแห่งแรกของประเทศไทย" พร้อมเปิดเวทีให้ 9 สตาร์ตอัปได้แสดงศักยภาพนำเสนอนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอาหารที่จะมาปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหารของโลกผ่านกิจกรรม "SPACE-F Incubator Demo Day" ทั้งนี้ ได้เผยถึงความสำเร็จตลอด 6 ปีที่ผ่านมา สามารถสร้างผลลัพธ์ด้านการระดมทุนรวม 5,068 ล้านบาท สนับสนุนสตาร์ตอัป กว่า 100 ราย จาก 18 ประเทศทั่วโลกให้สามารถขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า NIA ในฐานะผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหารที่สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านอาหารแห่งอนาคตได้ตอบโจทย์ การเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ การดึงดูดการลงทุน การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม พร้อมทั้งก้าวสู่ประเทศที่มีความสามารถในการผลิต พัฒนา และส่งออกอาหารระดับท็อปของโลก ด้วยแนวคิด Groom – Grant – Growth – Global ผ่านโครงการ "SPACE-F" โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับสากล ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ผสานพลังความร่วมมือจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนรายใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารภายใต้มาตรฐานสากล ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกสตาร์ตอัป การบริหารจัดการเครือข่ายพันธมิตร ไปจนถึงการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ทดสอบแนวคิดกับองค์กรระดับโลก
โดยทุกปีจะมีผู้สมัครกว่า 140 ทีม จากทั้งในประเทศและต่างประเทศสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ และคัดเลือกเพียง 20 ทีมที่เป็น Top 15% ของตลาด เพื่อเข้าร่วมพัฒนาโมเดลธุรกิจ และเพิ่มความน่าเชื่อถือผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ช่วยให้สตาร์ตอัปได้รับการเชื่อมโยงกับนักลงทุนไทยและต่างประเทศ การพาร่วมงานระดับสากล เช่น Startup x Innovation Thailand Expo, Techsauce Global Summit และ Agri-Food Tech Expo Asia ทำให้แบรนด์ของสตาร์ตอัปเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ส่วนเครือข่ายพันธมิตรจะได้รับประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ ทั้งการสำรวจค้นหา เทรนด์ระดับโลก แหล่งข้อมูลเทคโนโลยีและธุรกิจใหม่ การเข้าถึงสตาร์ตอัปที่ตรงความต้องการ และสร้างภาพลักษณ์ในฐานะผู้สนับสนุนนวัตกรรมอาหาร ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นของโครงการ SPACE-F
ดร.กริชผกา กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จของ SPACE-F มาจากองค์ประกอบที่สมบูรณ์ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การขยายผลสู่ตลาด การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน และกลไกการเงิน โดยในปีนี้ได้สนับสนุนฟู้ดเทคสตาร์ตอัปทั้งในและต่างประเทศจำนวน 18 ราย เพื่อให้สตาร์ตอัปในโครงการบ่มเพาะ และสตาร์ตอัปในโครงการเร่งการเติบโต (Incubator and Accelerator Program) สามารถพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยพาร์ทเนอร์ ทั้งภาครัฐ เอกชน จากทั้งในและต่างประเทศ ธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารรายใหญ่เข้ามาร่วมเติมเต็ม ได้แก่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด โดยงานนี้ 9 สตาร์ตอัปจากโครงการบ่มเพาะ (Incubator Program) ได้ขึ้นเวทีแสดงศักยภาพการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต ผ่านการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญระดับสากล เพื่อดึงดูดนักลงทุน และพันธมิตรจากทั่วโลก ในงาน "SPACE-F Incubator Demo Day"
ดังนั้น โครงการ SPACE-F จึงไม่เพียงเป็นแพลตฟอร์มสร้างสตาร์ตอัปอาหาร แต่ยังเป็นจุดเชื่อมโลกนวัตกรรมกับตลาดจริง ช่วยผลักดันผู้ประกอบการไทยและนานาชาติสู่การเติบโตในอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต เป็นจุดแข็งที่ทำให้โครงการนี้เติบโตอย่างยั่งยืน
"SPACE-F เป็นกลไกการพัฒนาและส่งเสริมฟู้ดเทคสตาร์ตอัปอย่างครบวงจร และช่วยเสริมความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศของไทยให้ก้าวขึ้นเป็น "ศูนย์กลางด้านนวัตกรรมอาหาร" ของภูมิภาค โดยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา SPACE-F สามารถสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่นด้วยการส่งเสริมระบบนิเวศฟู้ดเทคสตาร์ตอัปไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งการระดมทุนรวมกว่า 5,068 ล้านบาท และการสนับสนุนสตาร์ตอัปกว่า 100 รายจาก 18 ประเทศทั่วโลก ให้สามารถพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีอาหารของประเทศไทยในเวทีโลก โครงการยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็น "ครัวของโลก" ด้วยจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และการรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหารในระดับสากล SPACE-F ปีที่ 6 จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการแสดงศักยภาพของสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ที่พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารของไทยสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน"
ตัวแทนจาก บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยน ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและความยั่งยืน เพื่อมุ่งสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนควบคู่ไปกับการดูแลรักษาความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล (Healthy Living, Health Oceans) ผ่านการกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการสูญเสียอาหาร และเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ SPACE-F
ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดลตระหนักถึงบทบาทสำคัญของอุตสาหกรรมอาหาร ต่อเศรษฐกิจของประเทศ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนสตาร์ตอัป FoodTech ด้วยองค์ความรู้ เครื่องมือ และเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญของเรา เรามุ่งหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารที่ยั่งยืนผ่านโครงการ SPACE-F
ตัวแทนจากเนสท์เล่ กล่าวเพิ่มเติมว่า การได้ร่วมงานกับ SPACE-F ทำให้เนสท์เล่ได้เรียนรู้จากความคล่องตัวและความคิดสร้างสรรค์ของสตาร์ตอัป ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด เราพร้อมที่จะสนับสนุนสตาร์ตอัปเหล่านี้ให้เติบโตและประสบความสำเร็จต่อไป
นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวเพิ่มเติมว่า เนสท์เล่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ SPACE-F นับเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเปิดมุมมองใหม่ในการได้สัมผัสวิธีการทำงานที่คล่องตัวและรวดเร็วของเหล่าสตาร์ตอัป เรามีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งในพลังของนวัตกรรม ที่มาควบคู่กับความยั่งยืน และการใช้ดิจิทัลเข้ามาช่วย ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ SPACE-F ในการช่วยให้สตาร์ตอัปเติบโต เนสท์เล่รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็น ส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าและความสำเร็จของพวกเขา และยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนเส้นทางของพวกเขาต่อไป
สำหรับสตาร์ตอัปจากโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 6 ที่เข้าร่วมแสดงศักยภาพ วิสัยทัศน์ และนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดสู่ตลาดจริง ในงาน "SPACE-F Incubator Demo Day" มีทั้งหมด 9 ทีม ดังนี้
- BioNano Solution (ไทย): เทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูล เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารสำคัญในอาหารเสริมและเวชภัณฑ์ได้ถึง 5 เท่า
- Haruna (ไทย): พัฒนาพรีไบโอติกจากแป้งต้านการย่อยในข้าวไทย เพื่อช่วยปรับสมดุลลำไส้และแก้ปัญหาท้องผูกเรื้อรัง
- HILLKOFF (ไทย): อัปไซเคิลเปลือกกาแฟเชอร์รี่ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ไฟเบอร์ผงและชาเพื่อผู้บริโภครุ่นใหม่
- LOCOL (ไทย): ใช้ของเสียจากโกโก้สร้างเนื้อทางเลือกที่ยั่งยืน มีคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำและโปรตีนสูง
- Karmic Global (UAE):สร้างพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้จากเปลือกกุ้งเหลือทิ้ง เพื่อลดขยะในอุตสาหกรรมอาหารทะเล
- ZenxTag (ฮ่องกง): พัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะ ตรวจวัดคุณภาพอาหารสด เช่น ค่า pH, H2S และสารเน่าเสียแบบเรียลไทม์
- Sherapis (ไทย): ผลิตสต็อกก้อนรสกลมกล่อมที่ลดโซเดียมลง 50% เจาะตลาดคนรักสุขภาพและผู้สูงอายุ
- MAMAY Technologies (อิสราเอล): สร้าง "ภาษารสชาติ" แบบดิจิทัล เพื่อช่วยแบรนด์อาหารวิเคราะห์ความรู้สึกของผู้บริโภคอย่างแม่นยำ และ
- Nano Onions (ไทย): พัฒนาเครื่องดื่มสุขภาพจากสาหร่ายด้วยเทคโนโลยีนาโน เสริมภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบ
ดูภาพประกอบเพิ่มเติม:
เขียนข่าวและภาพประกอบโดย:
เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์ – JC&CO COMMUNICATIONS
วัชรกร เต่าทอง / 6685-098-6560 / watcharakornt@jcco.co.th
พรภัทรา พรอภิญญากุล / 6690-983-9217 / pornpattrap@jcco.co.th
** MEDIA HOTLINE: 02-634-4557 / 6663 - 6419549 (ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์)